เชื่อว่ามีหลายคนต้องเกิดความสงสัยอยู่แน่ๆ ว่าทำไมเวลาที่เรา ซักผ้าห่ม เอง ผ้าไม่เคยหอมติดทนนาน ทั้งที่เรายอมจัดหนักกับการอัดน้ำยาปรับผ้านุ่มเป็นถุงแล้วแท้ๆ เท่านั้นยังไม่พอ แล้วทำไมผ้าห่มที่เราซักปั่นแห้งเสร็จแล้วถึงได้มีรอยคราบสีขาวด้วยนะ แล้วเจ้าคราบรอยด่างสีขาวเหล่านั้นมันเกิดจากอะไร!? วันนี้ทางแฟชั่นโฮมเท็กซ์มี วิธีการซักผ้าห่ม ให้สะอาดหมดจดไร้คราบสกปรก และมีกลิ่นหอมติดทนนานมาแนะนำ ครบจบเรื่องงานซักที่นี่ ซักผ้าห่มให้หอมติดทนนานเหมือนแม่มาซักให้ 1. รู้จักประเภทของเนื้อผ้าห่มก่อนซัก ขั้นตอนแรกสำคัญมาก วิธีซักผ้ายังไงให้หอมและเนื้อผ้าไม่เสียหาย เนื้อผ้าห่มแต่ละประเภทมีวิธีการซักที่แตกต่างกัน หากเราซักผิดวิธีอาจทำให้ผ้าห่มสุดรักสุดห่วงของท่านนั้นเกิดความเสียหายได้ เพราะผ้าห่มบางชนิดก็ไม่เหมาะกับการนำมาซักปั่นเครื่อง อาจจะเหมาะกับการนำไปซักแห้งที่ร้านซักรีดมากกว่า ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้ใช้ควรสอบถามหรืออ่านคำแนะนำเกี่ยวกับการทำความสะอาดที่ทางผู้ผลิตหรือผู้จัดจำหน่ายระบุมาอย่างละเอียด 2. ขจัดคราบเฉพาะจุด ตรวจดูรอยบนผ้าห่มทุกครั้งก่อนการซัก ไม่ว่าจะเป็นคราบเปื้อนสกปรกรอยเล็กหรือใหญ่ คุณควรรีบขจัดคราบเหล่านั้นเสียก่อน เพราะหากปล่อยทิ้งไว้เป็นระยะเวลานานอาจจะเป็นคราบสะสมฝั่งแน่นที่ยากจะทำให้หลุดออก เช่น คราบเปื้อนจากหมึก, คราบเลือด และคราบมันของอาหาร วิธีการขัดคราบเฉพาะจุด : น้ำยาซักผ้าผสมน้ำอุ่น เทราดตรงบริเวณคราบเปื้อน จากนั้นขยี้ด้วยมือจนกว่าคราบนั้นจะจางออกให้ได้มากที่สุด พร้อมทำความสะอาดด้วยน้ำเปล่าตามปกติ 3. แช่น้ำอุ่นก่อน ควรแช่น้ำอุ่นหรือน้ำร้อนทิ้งไว้ โดยใช้เวลาในการแช่ประมาณ 15 – 30 นาที เพื่อเป็นการช่วยฆ่าเชื้อโรค เชื้อแบคทีเรีย หรือไรฝุ่นต่างๆ ที่สะสมอยู่ในเส้นใยเนื้อผ้าห่ม และเป็นวิธีที่ช่วยกระจายน้ำยาซักผ้าหรือผงซักฟอกเข้าสู่เนื้อผ้าได้ง่ายขึ้น และทำให้น้ำยาปรับผ้านุ่มติดทนนาน 4. เลือกผลิตภัณฑ์ซักผ้าสูตรเข้มข้น ปัจจุบันในท้องตลาดมีผลิตภัณฑ์ให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละสูตรมีความแตกต่างกันไป แต่ถ้าหากเราต้องการให้ผ้าห่มของกันนั้นหอมติดทนยาวนาน ควรเลือกน้ำยาหรือผงซักฟอกสูตรเข้มข้นเพราะจะมีส่วนช่วยทำให้ผ้าห่มของคุณสะอาดยิ่งขึ้นและมีกลิ่นหอมยาวนานกว่าปกติ และถ้าหากเลือกที่เป็นสูตรแอนตี้แบคทีเรียด้วยยิ่งดี เพราะจะช่วยขจัดกลิ่นที่พึงประสงค์ได้มากกว่าสูตรปกติ เพิ่มเติม : สามารถเติมน้ำส้มสายชูในช่วงน้ำสุดท้ายพร้อมกับน้ำยาปรับผ้านุ่มได้ ( ห้ามผสมกันก่อนเทใส่ถังซักผ้า ) เพื่อช่วยป้องกันการเกิดคราบขาวบนผ้าห่มได้ 5. ไม่ควรซักผ้าห่มรวมกับเครื่องนอน หรือเสื้อผ้าอื่นๆ เนื่องจากพวกเครื่องนอนหรือเสื้อผ้านั้นมีกลิ่นแรง มีการสะสมของเชื้อโรค, เชื้อแบคทีเรียมากกว่าปกติ ส่งผลให้ผ้าห่มนั้นไม่หอมและซักไม่สะอาดหมดจด ก่อให้เกิดกลิ่นอับ และผ้าห่มที่นำมาซักไม่ควรเยอะจนถังซักผ้าแน่นจนเกินไป เพราะจะทำให้น้ำยาซักผ้า น้ำยาปรับผ้านุ่มไม่สามารถแทรกซึมเข้าไปทำความสะอาดได้อย่างทั่วถึงเส้นใย รวมไปถึงอาจะทำให้เครื่องซักผ้าเกิดความเสียหายได้ 6. วางผ้าห่มในถังซักผ้าในลักษณะม้วน หากผ้าห่มของคุณมีขนาดหนาและใหญ่มาก การวางผ้าห่มในถังซักผ้าไม่ควรวางเป็นกระจุก ส่วนใดส่วนหนึ่ง เพราะจะทำให้น้ำยาซักผ้าหรือผงซักฟอกกระจุกอยู่ที่เดียว ลักษณะการวางต้องม้วนให้มีขนาดเล็กที่สุดเพื่อประหยัดพื้นที่ และเพื่อน้ำยาซักผ้าสามารถแทรกซึมเข้าไปทำความสะอาดได้อย่างทั่วถึง 7. ใช้โหมดการซักพิเศษสำหรับผ้าห่ม สิ่งที่หลายคนเอาจจะเข้าใจคิดว่าการซักผ้าห่มนานๆ หลายชั่วโมงจะทำให้สะอาดหมดจด นั่นเป็นความคิดที่ผิด เพราะอาจจะทำให้เส้นใยผ้าห่มเกิดความเสียหายได้ และในปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีของเครื่องซักผ้าที่มีหลากหลายโหมดฟังก์ชันการซักให้เลือก อย่างโหมดซักผ้าห่มหรือเครื่องนอน เพราะได้ถูกออกแบบในแต่ละขั้นตอนของการซัก มาเพื่อให้สะอาดอย่างมีประสิทธิภาพ ยิ่งง่ายต่อการซักทำความสะอาดของชาวแม่บ้านพ่อบ้านในทุกวันนี้ 8. สบัดผ้าห่มก่อนตาก ควรสะบัดผ้าห่มก่อนตากทุกครั้ง เพื่อให้ผ้าคายตัวไม่เป็นกระจุก ให้สามารถโดนแดดและผ้าแห้งง่ายขึ้น และช่วยลดการยับของเนื้อผ้าห่ม 9. ตากผ้าห่มในพื้นที่ที่มีอากาศถ่ายเท แดดช่วงเช้าเป็นแดดที่กำลังดีเหมาะสำหรับการตากผ้าห่ม หากผ้าห่มแห้งแล้วควรรีบเก็บทันที ไม่ควรตากแดดจัดเป็นเวลานานเกินไปนอกจากทำให้กลิ่นของของน้ำยาปรับผ้านุ่มระเหยจางหายไปแล้ว ยังส่งผลให้ผ้าห่มสีซีดไว 10. ถังซักผ้าควรหมั่นทำความสะอาด ต้องคอยขจัดคราบสิ่งสกปรกที่เกาะอยู่ตามถังซักผ้าอย่างบ่อยครั้ง คราบสีขาวหรือรอยด่างหลังจากการซักผ้า เกิดจากอะไร? บ่อยครั้งที่เรามักจะพบเห็นรอยด่างคราบสีขาวบนผ้าห่ม หลังจากที่เราซักผ้าด้วยผงซักฟอก จนอดสงสัยไม่ได้ว่าเกิดจากการที่เราซักไม่สะอาดเพราะใส่ผงซักฟอกน้อยเกินไป หรือเกิดจากการที่ถังเครื่องซักผ้าสกปรก ซึ่งสาเหตุของรอยด่างเหล่านี้นั้นมีหลากหลายสาเหตุ เช่น 1. เกิดจากน้ำยาที่มีความเป็นด่างเข้มข้น 2. เกิดจากการตกค้างน้ำยาปรับผ้านุ่มที่ใส่เยอะเกินไป หรือน้ำยาปรับผ้านุ่มมีส่วนผสมที่ล้างออกยากกว่าปกติ 3. เกิดจากการจับตัวเป็นก้อนของผงซักฟอกที่ละลายในน้ำไม่หมด 4. เกิดจากสีย้อมผ้าที่ไม่มีคุณภาพ ควรใช้น้ำยาซักผ้าที่มีความเป็นกรด-ด่างแบบอ่อน หรือน้ำยาสูตรสำหรับซักผ้าด้วยมือ โดยส่วนใหญ่แล้วสาเหตุหลักที่พบบ่อยก็คือเกิดจากการจับตัวเป็นก้อนของผงซักฟอกที่ละลายในน้ำไม่หมด และเกิดจากการคราบตกค้างน้ำยาปรับผ้านุ่ม วิธีป้องกันการซักผ้าห่มไม่ให้เป็นคราบขาว 1. การซักผ้าห่มไม่ให้เกิดคราบขาวนั้น เราไม่ควรเทผงซักฟอกลงบนผ้าห่มในถังซักผ้าโดยตรง ควรเทลงในช่องใส่ผงซักฟอกที่ทางเครื่องซักผ้ามีไว้ หรือไม่เราอาจจะละลายผงซักฟอกเองในน้ำให้กระจายตัวให้ดีเสียก่อน ค่อยนำไปเทใส่ถังซักผ้า แต่ถ้าหากไม่สะดวกแนะนำให้เลือกใช้เป็นผลิตภัณฑ์ซักทำความสะอาดชนิดน้ำ สำหรับซักเครื่องได้ เลือกที่มีความเป็นกรด-ด่างที่ไม่เข้มข้นเกินไป 2. อุณหภูมิที่ใช้ในการซักผ้าห่มไม่ควรใช้อุณหภูมิสูง เนื่องจากสามารถช่วยไม่ได้เกิดคราบขาวบนผ้าห่มแล้ว ยังสามารถช่วยไม่ให้ทำลายสีย้อมของผ้าห่มอีกด้วย 3. ในขั้นตอนสุดท้ายของการซักผ้าห่ม สามารถเติมน้ำส้มสายชูในช่วงน้ำสุดท้ายพร้อมกับน้ำยาปรับผ้านุ่ม เพื่อช่วยป้องกันการเกิดคราบขาวได้ โดยลักษณะการเทใส่นั้นต้องเทแยกกันกับน้ำยาปรับผ้านุ่ม ห้ามผสมกันก่อนเทใส่ถังซักผ้า ผ้าห่มถือเป็นเครื่องนอน หรือสิ่งที่ให้ความอบอุ่นกับร่างกายที่สำคัญของใครหลายๆ คน เป็นสิ่งของประจำบ้านที่ทุกบ้าน หรือทุกคนต้องมีติดไว้ ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะมีจะสภาพอากาศที่ร้อนสะส่วนใหญ่ แต่ในหลายๆ แห่งก็จะมีการใช้เครื่องปรับอากาศไม่ว่าที่ที่บ้าน ออฟฟิศ รถส่วนตัว หรือรถทัวร์เดินทาง ฯลฯ จึงทำให้ผ้าห่มกลายเป็นสิ่งสำคัญของชีวิต และยังมีอีกหลายคนที่รู้สึกติดผ้าห่มเป็นอย่างมาก ในทุกๆ คืนต้องมีผ้าห่มอยู่ข้างกายถ้าไม่มีก็อาจจะทำให้นอนไม่หลับ ฉะนั้นการคอยทำความสะอาดผ้าห่มให้สะอาดหมดจด มีกลิ่นหอมอยู่เสมอ จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เพราะหากผ้าห่มที่เราใช้นั้น ทำความสะอาดไม่ดีพออาจจะก่อให้เกิดไรฝุ่น และเชื้อราในผ้า ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายของเราอย่างมาก เช่น อาจะทำให้เรามีอาการปวดศรีษะ มีไข้ คัดจมูก ระคายเคืองตา และอาจก่อให้เกิดโรคร้ายแรงตามมา เช่น เป็นโรคหอบหืด โรคปอดอักเสบ และอาจจะทำให้คุณนอนหลับยากอีกด้วย : คลิกที่นี่ ซึ่งวิธีการซักต่างๆ เหล่านี้ รวมถึงข้อแนะนำทั้งหมดที่ได้กล่าวข้างต้นนั้น นอกจากจะใช้สำหรับการซักผ้าห่มแล้ว ยังสามารถนำไปใช้ในการซักทำความสะอาดอย่างอื่นได้ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น การซักผ้าเช็ดตัวหรือการซักเสื้อผ้า
How to ซักผ้าห่มอย่างไรให้สะอาด ไร้คราบขาว กลิ่นหอมติดทนเหมือนแม่ซักให้
เชื่อว่ามีหลายคนต้องเกิดความสงสัยอยู่แน่ๆ ว่าทำไมเวลาที่เรา ซักผ้าห่ม เอง ผ้าไม่เคยหอมติดทนนาน ทั้งที่เรายอมจัดหนักกับการอัดน้ำยาปรับผ้านุ่มเป็นถุงแล้วแท้ๆ เท่านั้นยังไม่พอ แล้วทำไมผ้าห่มที่เราซักปั่นแห้งเสร็จแล้วถึงได้มีรอยคราบสีขาวด้วยนะ แล้วเจ้าคราบรอยด่างสีขาวเหล่านั้นมันเกิดจากอะไร!? วันนี้ทางแฟชั่นโฮมเท็กซ์มี วิธีการซักผ้าห่ม ให้สะอาดหมดจดไร้คราบสกปรก และมีกลิ่นหอมติดทนนานมาแนะนำ ครบจบเรื่องงานซักที่นี่
ซักผ้าห่มให้หอมติดทนนานเหมือนแม่มาซักให้
1. รู้จักประเภทของเนื้อผ้าห่มก่อนซัก
ขั้นตอนแรกสำคัญมาก วิธีซักผ้ายังไงให้หอมและเนื้อผ้าไม่เสียหาย เนื้อผ้าห่มแต่ละประเภทมีวิธีการซักที่แตกต่างกัน หากเราซักผิดวิธีอาจทำให้ผ้าห่มสุดรักสุดห่วงของท่านนั้นเกิดความเสียหายได้ เพราะผ้าห่มบางชนิดก็ไม่เหมาะกับการนำมาซักปั่นเครื่อง อาจจะเหมาะกับการนำไปซักแห้งที่ร้านซักรีดมากกว่า ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้ใช้ควรสอบถามหรืออ่านคำแนะนำเกี่ยวกับการทำความสะอาดที่ทางผู้ผลิตหรือผู้จัดจำหน่ายระบุมาอย่างละเอียด
2. ขจัดคราบเฉพาะจุด
ตรวจดูรอยบนผ้าห่มทุกครั้งก่อนการซัก ไม่ว่าจะเป็นคราบเปื้อนสกปรกรอยเล็กหรือใหญ่ คุณควรรีบขจัดคราบเหล่านั้นเสียก่อน เพราะหากปล่อยทิ้งไว้เป็นระยะเวลานานอาจจะเป็นคราบสะสมฝั่งแน่นที่ยากจะทำให้หลุดออก เช่น คราบเปื้อนจากหมึก, คราบเลือด และคราบมันของอาหาร
3. แช่น้ำอุ่นก่อน
ควรแช่น้ำอุ่นหรือน้ำร้อนทิ้งไว้ โดยใช้เวลาในการแช่ประมาณ 15 – 30 นาที เพื่อเป็นการช่วยฆ่าเชื้อโรค เชื้อแบคทีเรีย หรือไรฝุ่นต่างๆ ที่สะสมอยู่ในเส้นใยเนื้อผ้าห่ม และเป็นวิธีที่ช่วยกระจายน้ำยาซักผ้าหรือผงซักฟอกเข้าสู่เนื้อผ้าได้ง่ายขึ้น และทำให้น้ำยาปรับผ้านุ่มติดทนนาน
4. เลือกผลิตภัณฑ์ซักผ้าสูตรเข้มข้น
ปัจจุบันในท้องตลาดมีผลิตภัณฑ์ให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละสูตรมีความแตกต่างกันไป แต่ถ้าหากเราต้องการให้ผ้าห่มของกันนั้นหอมติดทนยาวนาน ควรเลือกน้ำยาหรือผงซักฟอกสูตรเข้มข้นเพราะจะมีส่วนช่วยทำให้ผ้าห่มของคุณสะอาดยิ่งขึ้นและมีกลิ่นหอมยาวนานกว่าปกติ และถ้าหากเลือกที่เป็นสูตรแอนตี้แบคทีเรียด้วยยิ่งดี เพราะจะช่วยขจัดกลิ่นที่พึงประสงค์ได้มากกว่าสูตรปกติ
5. ไม่ควรซักผ้าห่มรวมกับเครื่องนอน หรือเสื้อผ้าอื่นๆ
เนื่องจากพวกเครื่องนอนหรือเสื้อผ้านั้นมีกลิ่นแรง มีการสะสมของเชื้อโรค, เชื้อแบคทีเรียมากกว่าปกติ ส่งผลให้ผ้าห่มนั้นไม่หอมและซักไม่สะอาดหมดจด ก่อให้เกิดกลิ่นอับ และผ้าห่มที่นำมาซักไม่ควรเยอะจนถังซักผ้าแน่นจนเกินไป เพราะจะทำให้น้ำยาซักผ้า น้ำยาปรับผ้านุ่มไม่สามารถแทรกซึมเข้าไปทำความสะอาดได้อย่างทั่วถึงเส้นใย รวมไปถึงอาจะทำให้เครื่องซักผ้าเกิดความเสียหายได้
6. วางผ้าห่มในถังซักผ้าในลักษณะม้วน
หากผ้าห่มของคุณมีขนาดหนาและใหญ่มาก การวางผ้าห่มในถังซักผ้าไม่ควรวางเป็นกระจุก ส่วนใดส่วนหนึ่ง เพราะจะทำให้น้ำยาซักผ้าหรือผงซักฟอกกระจุกอยู่ที่เดียว ลักษณะการวางต้องม้วนให้มีขนาดเล็กที่สุดเพื่อประหยัดพื้นที่ และเพื่อน้ำยาซักผ้าสามารถแทรกซึมเข้าไปทำความสะอาดได้อย่างทั่วถึง
7. ใช้โหมดการซักพิเศษสำหรับผ้าห่ม
สิ่งที่หลายคนเอาจจะเข้าใจคิดว่าการซักผ้าห่มนานๆ หลายชั่วโมงจะทำให้สะอาดหมดจด นั่นเป็นความคิดที่ผิด เพราะอาจจะทำให้เส้นใยผ้าห่มเกิดความเสียหายได้ และในปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีของเครื่องซักผ้าที่มีหลากหลายโหมดฟังก์ชันการซักให้เลือก อย่างโหมดซักผ้าห่มหรือเครื่องนอน เพราะได้ถูกออกแบบในแต่ละขั้นตอนของการซัก มาเพื่อให้สะอาดอย่างมีประสิทธิภาพ ยิ่งง่ายต่อการซักทำความสะอาดของชาวแม่บ้านพ่อบ้านในทุกวันนี้
8. สบัดผ้าห่มก่อนตาก
ควรสะบัดผ้าห่มก่อนตากทุกครั้ง เพื่อให้ผ้าคายตัวไม่เป็นกระจุก ให้สามารถโดนแดดและผ้าแห้งง่ายขึ้น และช่วยลดการยับของเนื้อผ้าห่ม
9. ตากผ้าห่มในพื้นที่ที่มีอากาศถ่ายเท
แดดช่วงเช้าเป็นแดดที่กำลังดีเหมาะสำหรับการตากผ้าห่ม หากผ้าห่มแห้งแล้วควรรีบเก็บทันที ไม่ควรตากแดดจัดเป็นเวลานานเกินไปนอกจากทำให้กลิ่นของของน้ำยาปรับผ้านุ่มระเหยจางหายไปแล้ว ยังส่งผลให้ผ้าห่มสีซีดไว
10. ถังซักผ้าควรหมั่นทำความสะอาด ต้องคอยขจัดคราบสิ่งสกปรกที่เกาะอยู่ตามถังซักผ้าอย่างบ่อยครั้ง
คราบสีขาวหรือรอยด่างหลังจากการซักผ้า เกิดจากอะไร?
บ่อยครั้งที่เรามักจะพบเห็นรอยด่างคราบสีขาวบนผ้าห่ม หลังจากที่เราซักผ้าด้วยผงซักฟอก จนอดสงสัยไม่ได้ว่าเกิดจากการที่เราซักไม่สะอาดเพราะใส่ผงซักฟอกน้อยเกินไป หรือเกิดจากการที่ถังเครื่องซักผ้าสกปรก ซึ่งสาเหตุของรอยด่างเหล่านี้นั้นมีหลากหลายสาเหตุ เช่น
1. เกิดจากน้ำยาที่มีความเป็นด่างเข้มข้น
2. เกิดจากการตกค้างน้ำยาปรับผ้านุ่มที่ใส่เยอะเกินไป หรือน้ำยาปรับผ้านุ่มมีส่วนผสมที่ล้างออกยากกว่าปกติ
3. เกิดจากการจับตัวเป็นก้อนของผงซักฟอกที่ละลายในน้ำไม่หมด
4. เกิดจากสีย้อมผ้าที่ไม่มีคุณภาพ ควรใช้น้ำยาซักผ้าที่มีความเป็นกรด-ด่างแบบอ่อน หรือน้ำยาสูตรสำหรับซักผ้าด้วยมือ
โดยส่วนใหญ่แล้วสาเหตุหลักที่พบบ่อยก็คือเกิดจากการจับตัวเป็นก้อนของผงซักฟอกที่ละลายในน้ำไม่หมด และเกิดจากการคราบตกค้างน้ำยาปรับผ้านุ่ม
วิธีป้องกันการซักผ้าห่มไม่ให้เป็นคราบขาว
1. การซักผ้าห่มไม่ให้เกิดคราบขาวนั้น เราไม่ควรเทผงซักฟอกลงบนผ้าห่มในถังซักผ้าโดยตรง ควรเทลงในช่องใส่ผงซักฟอกที่ทางเครื่องซักผ้ามีไว้ หรือไม่เราอาจจะละลายผงซักฟอกเองในน้ำให้กระจายตัวให้ดีเสียก่อน ค่อยนำไปเทใส่ถังซักผ้า แต่ถ้าหากไม่สะดวกแนะนำให้เลือกใช้เป็นผลิตภัณฑ์ซักทำความสะอาดชนิดน้ำ สำหรับซักเครื่องได้ เลือกที่มีความเป็นกรด-ด่างที่ไม่เข้มข้นเกินไป
2. อุณหภูมิที่ใช้ในการซักผ้าห่มไม่ควรใช้อุณหภูมิสูง เนื่องจากสามารถช่วยไม่ได้เกิดคราบขาวบนผ้าห่มแล้ว ยังสามารถช่วยไม่ให้ทำลายสีย้อมของผ้าห่มอีกด้วย
3. ในขั้นตอนสุดท้ายของการซักผ้าห่ม สามารถเติมน้ำส้มสายชูในช่วงน้ำสุดท้ายพร้อมกับน้ำยาปรับผ้านุ่ม เพื่อช่วยป้องกันการเกิดคราบขาวได้ โดยลักษณะการเทใส่นั้นต้องเทแยกกันกับน้ำยาปรับผ้านุ่ม ห้ามผสมกันก่อนเทใส่ถังซักผ้า
ผ้าห่มถือเป็นเครื่องนอน หรือสิ่งที่ให้ความอบอุ่นกับร่างกายที่สำคัญของใครหลายๆ คน เป็นสิ่งของประจำบ้านที่ทุกบ้าน หรือทุกคนต้องมีติดไว้ ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะมีจะสภาพอากาศที่ร้อนสะส่วนใหญ่ แต่ในหลายๆ แห่งก็จะมีการใช้เครื่องปรับอากาศไม่ว่าที่ที่บ้าน ออฟฟิศ รถส่วนตัว หรือรถทัวร์เดินทาง ฯลฯ จึงทำให้ผ้าห่มกลายเป็นสิ่งสำคัญของชีวิต และยังมีอีกหลายคนที่รู้สึกติดผ้าห่มเป็นอย่างมาก ในทุกๆ คืนต้องมีผ้าห่มอยู่ข้างกายถ้าไม่มีก็อาจจะทำให้นอนไม่หลับ
ฉะนั้นการคอยทำความสะอาดผ้าห่มให้สะอาดหมดจด มีกลิ่นหอมอยู่เสมอ จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เพราะหากผ้าห่มที่เราใช้นั้น ทำความสะอาดไม่ดีพออาจจะก่อให้เกิดไรฝุ่น และเชื้อราในผ้า ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายของเราอย่างมาก เช่น อาจะทำให้เรามีอาการปวดศรีษะ มีไข้ คัดจมูก ระคายเคืองตา และอาจก่อให้เกิดโรคร้ายแรงตามมา เช่น เป็นโรคหอบหืด โรคปอดอักเสบ และอาจจะทำให้คุณนอนหลับยากอีกด้วย : คลิกที่นี่
ซึ่งวิธีการซักต่างๆ เหล่านี้ รวมถึงข้อแนะนำทั้งหมดที่ได้กล่าวข้างต้นนั้น นอกจากจะใช้สำหรับการซักผ้าห่มแล้ว ยังสามารถนำไปใช้ในการซักทำความสะอาดอย่างอื่นได้ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น การซักผ้าเช็ดตัวหรือการซักเสื้อผ้า